ระบบนิเวศ

ระบบนิเวศ

ระบบนิเวศ

ระบบนิเวศ

ระบบนิเวศป่าชายเลน


ระบบนิเวศป่าชายเลน



 ระบบนิเวศป่าชายเลนเป็นระบบนิเวศที่มีความซับซ้อน มีหน้าที่เป็นปราการเชื่อมต่อระหว่างระบบนิเวศบนบกและนิเวศทางทะเล โดยทำหน้าที่ช่วยเก็บกักตะกอนและกลั่นกรองความสกปรกที่มาจากกิจกรรมบนบก และยังมีหน้าที่ช่วยรักษามวลดินและหน้าดินไม่ให้ถูกพัดพาออกจากขอบฝั่งและริมตลิ่ง นอกจากนี้ ระบบนิเวศป่าชายเลนยังเป็นแหล่งผลิตออกซิเจน และเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตสูง เหมาะแก่การท่องเที่ยวและศึกษาวิจัย
      ระบบนิเวศป่าชายเลนป่าชายเลนในประเทศไทยมีสถานภาพแตกต่างกัน ทั้งในด้านพืชพรรณ ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ ลักษณะทางสังคมเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง จึงเป็นสาเหตุให้ระบบนิเวศป่าชายเลนในแต่ละพื้นที่มีสภาพปัญหาแตกต่างกัน ทั้งนี้อาจสรุปปัญหาได้ 3ลักษณะ คือ
  1. พื้นที่ป่าชายเลนที่คงสภาพเป็นป่าอยู่ แต่มีชุมชนเข้าไปอาศัยอยู่ และใช้ประโยชน์ต่าง ๆ พื้นที่บางส่วนถูกบุกรุก ได้แก่ ป่าชายเลนบริเวณฝั่งอันดามัน จังหวัดพังงา ระนอง กระบี่ ตรัง สตูล และภูเก็ต
  2. พื้นที่ป่าชายเลนที่มีการบุกรุกเข้าไปใช้ประโยชน์ และเปลี่ยนแปลงเป็นนากุ้ง เช่น บริเวณอ่าวไทยภาคตะวันออกและภาคใต้ ของจังหวัดจันทบุรี สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช
  3. พื้นที่ป่าชายเลนที่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองและใช้ประโยชน์แต่ไม่คุ้มทุน เช่น การปลูกป่าชายเลนหรือการทำนากุ้ง จึงมีการขายให้กับนายทุน ตลอดจนการใช้ที่ดินไม่เหมาะสม จนเกิดการกัดเซาะชายฝั่ง ได้แก่ พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และฉะเชิงเทรา
      พื้นที่ป่าชายเลนบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย แบ่งเป็น ชายฝั่งภาคตะวันออกตอนนอก (จังหวัดตราด จันทบุรี และระยอง) ชายฝั่งอ่าวไทยตอนใน (จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และเพชรบุรี) อ่าวไทยฝั่งตะวันตกตอนกลาง (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี) และอ่าวไทยตะวันตกตอนล่าง (จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา และปัตตานี) บริเวณดังกล่าวมีพื้นที่ป่าชายเลนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2547 ดังแสดงในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 พื้นที่ป่าชายเลนบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2547
จังหวัด
พื้นที่ป่าชายเลน (ไร่)
พ.ศ. 2539
พ.ศ. 2543
พ.ศ. 2547
ตราด
47,086.50
59,482.00
67,504.00
จันทบุรี
24,332.25
78,580.00
73,712.00
ระยอง
4,103.00
11,764.00
8,709.00
ชลบุรี
575.00
4,461.00
4,510.00
ฉะเชิงเทรา
3,015.75
10,917.00
7,812.00
สมุทรปราการ
1,858.00
7,218.00
9,164.00
สมุทรสงคราม
7,156.25
15,957.00
14,112.00
สมุทรสาคร
10,601.75
19,252.00
14,909.00
เพชรบุรี
12,938.25
19,168.00
6,511.00
ประจวบคีรีขันธ์
268.75
3,122.00
2,706.00
ชุมพร
19,898.75
45,292.00
40,535.00
สุราษฎร์ธานี
19,886.25
58,127.00
32,510.00
นครศรีธรรมราช
52,601.00
58,876.00
88,099.00
พัทลุง
881.25
1,354.00
2,041.00
สงขลา
3,896.50
21,806.00
6,395.00
ปัตตานี
6,906.75
26,440.00
23,229.00
นราธิวาส
-
-
113.00
      พื้นที่ป่าชายเลนบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันได้แก่ จังหวัดระนอง พังงา กระบี่ ตรัง ภูเก็ต และสตูล ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีพื้นที่ป่าชายเลนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2547 ดังแสดงในตารางที่ 2
ตารางที่ 2 พื้นที่ป่าชายเลนบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2547
จังหวัด
พื้นที่ป่าชายเลน (ไร่)
พ.ศ. 2539
พ.ศ. 2543
พ.ศ. 2547
ระนอง
120,229.00
170,335.00
158,343.00
พังงา
190,265.25
262,738.00
271,628.00
ภูเก็ต
9,448.00
11,725.00
10,593.00
ตรัง
150,596.75
223,677.00
204,642.00
กระบี่
176,596.75
219,338.00
224,217.00
สตูล
183,402.00
245,822.00
215,803.00
ประโยชน์และความสำคัญของป่าชายเลน
      1. ด้านป่าไม้ พันธุ์ไม้จากป่าชายเลนหลายชนิดสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างบ้านเรือน ผลิตเครื่องมือการประมง เฟอร์นิเจอร์ และนำมาทำถ่านไม้ที่ให้ความร้อนสูง นอกจากนี้เปลือกของพันธุ์ไม้ป่าชายเลนหลายชนิดยังมีสารแทนนิน ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายชนิด เช่น ใช้ย้อมอวน และนำไปใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง ทำหมึก สี และกาวสำหรับติดไม้ เป็นต้น

      2. ด้านการประมง ป่าชายเลนเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน โดยเฉพาะปู กุ้ง หอย ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญ รวมทั้งสัตว์น้ำอื่นๆซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหารโดยเฉพาะปลาหลายชนิดที่เรานิยมบริโภค เช่น ปลากะพง ปลาทะเลหลายชนิดที่วางไข่ในป่าชายเลน และอาศัยเจริญเติบโตในระยะแรก เมื่อเจริญเติบโตแข็งแรงดีแล้วจึงออกสู่ทะเล และหลายชนิดที่แม้จะวางไข่ในทะเลแต่ตัวอ่อนจะเคลื่อนย้ายสู่ป่าชายเลนเพื่ออาศัยหลบซ่อนศัตรู และหาอาหาร

      3. ด้านการแพทย์ พันธุ์ไม้ป่าชายเลนหลายชนิดมีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรใช้รักษาโรคต่างๆได้ ตัวอย่างคือ ต้นเหงือกปลาหมอ โพธิ์ทะเล สำมะงา โปรง ตะบูน แสมและ โกงกาง เป็นต้น

      4. ด้านการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ป่าชายเลนมีบทบาทสำคัญในการป้องกันพื้นที่ชายฝั่งทะเลจากคลื่นลมแรงและการกัดเซาะดินได้เป็นอย่างดี ชายฝั่งทะเลบริเวณที่มีป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์จะไม่ได้รับความเสียหายจากคลื่นลมแรงและพายุ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เชื่อมโยงกับระบบนิเวศใกล้เคียง คือ ระหว่างป่าชายเลนกับทะเล และระหว่างป่าชายเลนกับป่าบก มีสัตว์หลายชนิดที่อพยพไปมาระหว่างระบบนิเวศดังกล่าวได้
พืชในป่าชายเลน
      พรรณไม้ในป่าชายเลนประกอบด้วยพันธุ์ไม้ป่าชายเลน (mangrove) ซึ่งเป็นไม้พุ่มที่ทนต่อความเค็มของน้ำทะเล มีรากอากาศและระบบรากที่ทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในดินที่มีสภาพขาดออกซิเจนได้ นอกจากนั้น ยังพบพันธุ์ไม้ชนิดอื่น ๆ อาศัยอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ป่าชายเลนเป็นบริเวณเชื่อมต่อจากป่าบก จึง้พบพันธุ์ไม้หลายชนิดจากบนบกที่อยู่ร่วมกับป่าชายเลน และพันธุ์ไม้จะขึ้นอยู่ในลักษณะเป็นเขตแนวของแต่ละชนิด โดยมีแบบแผนแน่นอน พันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่พบได้ทั่วไป ได้แก่
รูป
ชื่อพันธุ์ไม้
ลักษณะทั่วไป
ชื่อไทย : โกงกางใบเล็ก
ชื่อวิทยาศาสตร์
 : Rhizophora apiculata
พันธุ์ไม้สำคัญที่พบมากในป่าชายเลน ลักษณะคล้ายคลึงกับโกงกางใบใหญ่แต่ใบมีขนาดเล็กกว่า ตรงโคนต้นแตกรากค้ำจุนมาก ฝักมีขนาดเล็กยาวประมาณ 30 เซนติเมตร เมื่อร่วงหล่นลงสู่พื้นจะปักดินและงอกขึ้นมาเป็นต้นโกงกาง ทั้งสองชนิดมักขึ้นอยู่ริมชายฝั่งของเขตแนวป่าด้านนอก
ชื่อไทย: โกงกางใบใหญ่
ชื่อวิทยาศาสตร
์ : Rhizophora mucronata
มีลักษณะต้นตั้งตรง และแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มบริเวณเรือนยอด รากค้ำจุนแตกออกตรงโคนต้น ใบขนาดใหญ่เป็นมันผลสีน้ำตาล มีการงอกของเมล็ดตั้งแต่อยู่บนต้นยื่นลงมาเป็นท่อนยาวสีเขียว ขนาดยาวประมาณ 50 เซนติเมตร เมื่อร่วงหล่นลงสู่พื้นโคลน จะปักลงไปในดินและเจริญงอกขึ้นมาเป็นต้น
ชื่อไทย: แสมขาว
ชื่อวิทยาศาสตร
์ : Avicennia alba
พันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่พบมากอีกชนิดหนึ่ง ลักษณะต้นสูงใหญ่ ตรงโคนต้นมีรากอากาศโผล่พ้นพื้นดันขึ้นมาเป็นเส้นขนาดยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็กสีเหลือง กลิ่นหอม ผลมีรูปร่างกลมรีคล้ายผลมะม่วงขนาดเล็ก เมื่อหล่นลงสู่พื้นจึงงอกขึ้นเป็นต้นใหม่ หรือถูกพัดพาไปกับน้ำทะเล
ชื่อไทย : ประสัก หรือ พังกาหัวสุม
ชื่อวิทยาศาสตร
์ : Bruguiera gymnorrhiza
ขึ้นแทรกอยู่ในเขตป่าโกงกาง ใบมีผิวเรียบมัน ดอกประสักมีกลีบเลี้ยงสีแดง ผลมีการงอกของเมล็ดตั้งแต่ยังอยู่บนต้น ลักษณะเป็นท่อนยาวประมาณ 12 เซนติเมตร เมื่อร่วงหล่นปักลงบนพื้นดินโคลน จะงอกรากและเจริญเป็นต้น
ชื่อไทย: ลำพู
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sonneratia caseolaris
มักพบขึ้นปะปนกับแสมบริเวณปากแม่น้ำที่เป็นแหล่งน้ำกร่อย มีรากอากาศขนาดใหญ่ที่แทงขึ้นมาจากพื้นดินเห็นได้ชัดเจน หิ่งห้อยชอบอาศัยอยบนต้นลำพู่และส่งแสงกระพริบในเวลากลางคืน
ชื่อไทย: จาก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nypa frutican
พืชจำพวกปาล์มที่พบขึ้นอยู่หนาแน่นบริเวณริมฝั่งคลองของป่าชายเลนหรือบริเวณน้ำกร่อย ชาวประมงนิยมนำใบจากไปมุงหลังคาบ้าน ผลลักษณะเป็นทะลาย แทงขึ้นมาจากกอ
ชื่อไทย: ตะบูนขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Xylocarpus granatum
พบขึ้นอยู่ทางเขตด้านใน ถัดจากโกงกางเข้าไปซึ่งเป็นเขตตะบูนและโปรง ลักษณะโคนต้นมีรากแผ่ออกเป็นพูพอนขนาดใหญ่ ผลมีขนาดและรูปร่างคล้ายมะตูม เมื่อผลแห้งจะแตกออกมีเมล็ดขนาดใหญ่อยู่ภายใน
ชื่อไทย: โปรง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ceriops tagal
ขึ้นปะปนกับตะบูน ลำต้นตั้งตรงขนาดสูงประมาณ 5 เมตร เมื่อติดผลมีลักษณะคล้ายคลึงกับฝักโกงกางใบเล็ก ต้นโปรงจะขึ้นอยู่บนพื้นดินที่ค่อนข้างแข็งในเขตเดียวกับตะบูน
ชื่อไทย: ตาตุ่มทะเล
ชื่อวิทยาศาสตร
์ : Excoecaria agallocha
พันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่มียางพิษสีขาว หากเข้าตาจะทำให้อักเสบ พบขึ้นปะปนอยู่กับต้นฝาด สังเกตต้นตาตุ่มได้เมื่อใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงก่อนที่จะร่วงหล่น
ชื่อไทย: ฝาดดอกแดง
ชื่อวิทยาศาสตร
์ : Lumnitzera littorea
ไม้ป่าชายเลนขนาดต้นใหญ่ ลำต้นสีดำ ใบเล็ก อวบน้ำ ดอกออกเป็นช่อสีแดง ออกดอกชุกในช่วงฤดูฝน ซึ่งจะมีนกกินน้ำหวานหลายชนิด เช่น นกกระจิบ นกแว่นตาขาว และนกกินปลีที่อาศัยอยู่ตามป่าชายเลน ชอบมาดูดน้ำหวานจากดอกฝาดสีแดงเหล่านี้
ชื่อไทย: เสม็ด
ชื่อวิทยาศาสตร
์ : Melaleuca leucadendron
พืชยืนต้นที่ขึ้นอยู่ทางเขตด้านในสุดของป่าชายเลนเชื่อมต่อกับป่าบก ดอกเป็นช่อสีขาว ส่วนใหญ่ของพื้นที่ป่าเสม็ดจะมีน้ำท่วมถึงเฉพาะช่วงน้ำเกิดในฤดูหนาวเท่านั้น เปลือกของเสม็ดนำมาชุบน้ำมันยางใช้ทำขี้ไต้สำหรับจุดไฟ ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวประมง
นอกจากพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่ได้กล่าวมาเบื้องต้น บริเวณป่าชายเลนยังมีพันธุ์ไม้อีกหลายชนิด ได้แก่
เหงือกปลาหมอดอกขาว
Acanthus ebracteatus
เหงือกปลาหมอดอกม่วง
Acanthus ilicifolius
เหงือกปลาหมอดอกเครือ
Acanthus volubilis
ปรงทะเล
Acrostichum aureum
ปรงหนู 
Acrostichum speciosum
เล็บมือนาง
Aegiceras corniculatum
มะนาวผี
Atalantia monophylla
แสมทะเล
Avicennia marina
แสมดำ
Avicennia officinalis
จิกทะเล 
Barringtonia racemosa
น้ำนอง 
Brownlowia tersa
ถั่วขาว
Bruguiera cylindrical
ถั่วดำ
Bruguiera parviflora
พังกาหัวสุ่มดอกขาว
Bruguiera sexangula
เทพี
Caesalpinia crista
เถาตรุษ
Calycopteris floribunda
ตีนเป็ดทะเล 
Cerbera odollam
โปรงขาว 
Ceriops decandra
สำมะง่า 
Clerodendrum inerme
หมัน
Cordia cochinchinensis
หยีทะเล
Derris indica
เถาถอบแถบ
Derris trifoliata
หวายลิง
Flagellaria indica
หงอนไก่ทะเล
Heritiera littoralis
ปอทะเล
Hibicus tiliaceus
หลุมพอทะเล
Intsia bijuga
รังกะแท้
Kandelia candel
ฝาดดอกขาว
Lumnitzera racemosa
เป้ง
Phoenix paludosa
ชะเลือด
Premna obtusifolia
ลำพูทะเล
Sonneratia alba
ลำแพนทะเล
Sonneratia griffithii
ลำแพน
Sonneratia ovata
สัตว์ที่พบบริเวณป่าชายเลน
      บริเวณป่าชายเลนถือว่าเป็นระบบนิเวศที่สำคัญต่อสิ่งมีชีวิต เพราะเป็นที่เพาะพันธุ์และเป็นแหล่งอนุบาลของสัตว์น้ำ รวมไปถึงเป็นแหล่งหากินของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิด ทำให้บริเวณป่าชายเลนมีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตสูง ทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์หน้าดิน รวมไปถึงสัตว์ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ซึ่งสัตว์ที่พบอาศัยอยู่บริเวณป่าชายเลน จะคืบคลานหรือเกาะหรือขุดรูอยู่ตามพื้นดิน รวมทั้งพวกที่อยู่ในน้ำจะต้องมีการปรับตัวอย่างมากเพื่อการอยู่รอด เนื่องจากต้องประสบกับสภาวะต่างๆที่เปลี่ยนแปลงอยู่เป็นประจำ
หรือต้องอยู่ในสภาพไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตโดยทั่วไป เช่น สภาวะที่ทำให้มีการสูญเสียน้ำออกจากลำตัวและสภาพอุณหภูมิสูง สภาพที่มีปริมาณออกซิเจนค่อนข้างต่ำของดินเลน และการเปลี่ยนแปลงความเค็ม ตัวอย่างสัตว์ที่พบในป่าชายเลน ได้แก่
รูป
ชนิดพันธุ์สัตว์
รายละเอียด
ชื่อไทย : หนอนริบบิ้น (Ribbon worm)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
ลำตัวแบนเรียวยาวคล้ายคลึงกับหนอน
ตัวแบน ร่างกายไม่มีปล้อง มีท่อทางเดิน
อาหารครบจากปากสู่ทวารหนัก และมี
งวงที่ยืดหดได้ทางด้านหน้า ลำตัวสี
แดงเพราะมีระบบหมุนเวียนโลหิต
ฝังตัวอาศัยอยู่ในดินโคลนบริเวณป่า
ชายเลน
ชื่อไทย : แม่เพรียง (Polychaete Worm)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
หนอนปล้องที่อาศัยอยู่ตามพื้นป่าชายเลน
มีระยางค์เป็นคู่ช่วยในการว่ายน้ำ ในช่วง
ฤดูหนาวที่น้ำทะเลขึ้นสูง แม่เพรียงจะ
ว่ายน้ำออกมาที่ผิวทะเลเพื่อผสมพันธุ์
โดยตัวผู้และตัวเมียปล่อยเซลล์สืบพันธุ์
จำนวนมากออกไปผสมกันในน้ำทะเล
ได้ตัวอ่อนที่ดำรงชีวิตเป็นแพลงค์ตอน
ชั่วคราว ส่วนพ่อแม่พันธุ์มักถูกปลาทะเล
จับกินเป็นอาหาร
ชื่อไทย : ปูเปี้ยวก้ามขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Uca perplexa
บริเวณชายหาดโคลนปนทราย ริมป่า
ชายเลน จะเป็นที่อยู่อาศัยของปูเปี้ยว
หรือปูก้ามดาบ ซึ่งมีก้ามข้างหนึ่งขนาด
ใหญ่ใช้โบกพัดแสดงความเป็นเจ้าของ
อาณาเขตของตน ตามปกติปูก้ามดาบจะ
ขุดรู และออกมาจากรูหาอาหารช่วงเวลา
น้ำลง และฝังตัวอยู่ในรูเมื่อน้ำทะเลขึ้น
ชื่อไทย :ปูเปี้ยวปากคีบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Uca forcipata
ปูก้ามดาบอีกชนิดหนึ่ง มีกระดองสีดำ
ก้ามสีน้ำตาลอมม่วง ชอบอาศัยอยู่ตาม
พื้นที่เป็นดินโคลน แยกจากกลุ่มของปู
เปี้ยวก้ามขาว ทั้งนี้เป็นการลดการแก่ง
แย่งแข่งขันระหว่างปูประเภทเดียวกัน
ชื่อไทย : ปูเปี้ยวขาแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Uca tetragonon
ปูก้ามดาบชนิดที่มีกระดองสีฟ้าแต้มด้วย
จุดดำ ตรงมุมกระดองมีสีเหลือง ขาเดินมี
สีส้มแดง ตัวเมียมีก้ามขนาดเล็กทั้งสอง
ข้างเช่นเดียวกับปูก้ามดาบทั่วไป พบอาศัย
อยู่ตามหาดโคลนใกล้แนวป่าชายเลนทาง
ฝั่งทะเลอันดามัน
ชื่อไทย : ปูแสมก้ามแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Chiromanthes eumolpe
ปูแสมขนาดกลาง กระดองกว้างประมาณ
2.5 เซนติเมตร เป็นรูปสี่เหลี่ยม ก้ามสีแดง
ขุดรูอาศัยอยู่ตามพื้นป่าชายเลนหรือริม
คันนาน้ำเค็ม กินเศษอินทรีย์ต่างๆ เป็น
อาหาร พบชุกชุมและมีการแพร่กระจาย
ทั่วไป
ชื่อไทย : ปูแสม หรือปูเค็ม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sesarma mederi
กระดองเป็นรูปสี่เหลี่ยม ปกคลุมด้วยขนสั้น
ก้ามขนาดใหญ่แข็งแรงสีบานเย็นอมม่วง
ขุดรูอาศัยอยู่ตามพื้นป่าชายเลนที่เป็นดิน
โคลน กินเศษอินทรีย์และใบไม้ที่เน่าเปื่อย
เป็นอาหาร ปูชนิดนี้เองที่ถูกจับนำมาดอง
เป็นปูเค็ม
ชื่อไทย : ปูแสมก้ามยาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Metaplax elegan
ปูแสมชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับ
ปูก้ามดาบ โดยมีก้ามขนาดยาวใหญ่ ส่วน
ขาเดินเรียวเล็ก ขุดรูอาศัยอยู่ตามหาดโคลน
ริมแนวป่าชายเลนปะปนกับปูก้ามดาบ
กระดองมีความกว้างประมาณ 1.5
เซนติเมตร ก้ามมีสีส้มแดง
ชื่อไทย : ปูทะเล
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Scylla serrata
ปูขนาดใหญ่ เมื่อโตเต็มที่อาจมีน้ำหนัก
มากกว่าครึ่งกิโลกรัม กระดองพื้นผิวเรียบ
เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้จะอุ้มตัวเมียไว้รอ
จนกว่าตัวเมียจะลอกคราบแล้วจึงผสมพันธุ์
ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วจะถูกปล่อยออก
มาอุ้มไว้ที่หน้าท้องจนกระทั่งฟักออกไปเป็น
ตัวอ่อน ดำรงชีวิตเป็นแพลงค์ตอนชั่วคราว
ชื่อไทย : กุ้งเคย (Acetes)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : ---
ครัสเตเชียนขนาดเล็กรูปร่างคล้ายกุ้ง
แต่ดำรงชีวิตอยู่ใกล้ผิวทะเลโดยไม่จมลง
คลานตามพื้นอย่างกุ้งทั่วไป ขนาดยาว
ประมาณ 1.5 เซนติเมตร เปลือกบาง
และนิ่ม อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงตามชาย
ทะเลและลำคลองบริเวณป่าชายเลน
ชื่อไทย : กุ้งกุลาดำ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Penaeus monodon
กุ้งทะเลขนาดค่อนข้างใหญ่ ความยาวลำตัว
ประมาณ 20 เซนติเมตร ลำตัวสีน้ำเงินอม
ม่วงเข้มและมีลายขวางเป็นปล้อง อาศัยอยู่
ตามพื้นทะเลริมชายฝั่งและป่าชายเลน
ปัจจุบันมีการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงกันอย่าง
แพร่หลาย
ชื่อไทย :กุ้งแชบ๊วย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Penaeus merguiensis
กุ้งทะเลขนาดค่อนข้างใหญ่ใกล้เคียง
กับกุ้งกุลาดำ เปลือกหุ้มตัวมีสีเหลืองนวล
บนกรีมีฟัน 5-8 ซี่ ด้านล่างมี 2-5 ซี่
อาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นดินโคลน
ริมชายฝั่งและลำคลองในป่าชายเลน
ชื่อไทย : แม่หอบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Thallassina anomula
แม่หอบเป็นครัสเตเีชียนลักษณะคล้ายคลึง
กับกุ้ง แต่ส่วนท้องมีขนาดใหญ่ และสามารถ
อาศัยอยู่บนบกได้นาน ลำตัวเรียวยาว
ขาเดินคู่แรกเป็นก้ามหนีบ ส่วนท้องแบ่ง
ออกเป็นปล้อง แม่หอบขุดรูอาศัยอยู่ตาม
พื้นป่าชายเลน โดยขนดินขึ้นมากองทับถม
กันเป็นเนินสูง และอาศัยอยู่ด้านใต้กองดิน
นั้น พบเฉพาะป่าชายเลนทางภาคใต้
ชื่อไทย : กั้งตั๊กแตน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oratosguilla nepa
กั้งตั๊กแตนขนาดกลาง ความยาวประมาณ
15 เซนติเมตร ลำตัวค่อนข้างแบน ด้าน
บนมีสันเรียงตัวตามความยาว 8 เส้น
ส่วนท้องปล้องที่ 2 และ 5 มีแถบคาด
สีดำตามขวาง ตัวเมียที่ผ่านการผสมแล้ว
จะปล่อยไข่ออกมาอุ้งไว้จนกว่าจะฟักเป็น
ตัวอ่อน
ชื่อไทย : แมงดาถ้วย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Carcinoscorpius rotundicauda
สัตว์มีขาเป็นข้อปล้องที่อาศัยอยู่ในทะเล
ส่วนหัวเชื่อมรวมกับอกเป็นรูปเกือกม้า
ส่วนท้องมีหนามบริเวณขอบข้างละ 6 คู่
หางค่อนข้างกลมและไม่มีหนาม อาศัยอยู่
ตามพื้นทะเลที่เป็นดินโคลน วางไข่ตาม
ริมตลิ่งบริเวณป่าชายเลน แมงดาชนิดนี้
บางตัวอาจะเป็นพิษจึงควรระมัดระวัง
ในการรับประทานไข่แมงดาหางกลม
โดยเฉพาะช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม
ชื่อไทย : หอยขี้นก (Cerithidea)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
หอยฝาเดียว (gastropod) ขนาดยาวประมาณ 4
เซนติเมตร เปลือกเวียนเป็นเกลียวรูปเจดีย์
พบเกาะอยู่ตามรากต้นโกงกาง หรือคลาน
อยู่ตามพื้นป่า เมื่อหอยเหล่านี้ตายลง เปลือก
จะเป็นที่อยู่อาศัยของลูกปูเสฉวนขนาดเล็ก
ชื่อไทย : ปลาตีน (Boleophthalmus)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
ปลาที่ปรับตัวทางโครงสร้างและสรีระ
หลายอย่างจนสามารถอาศัยอยู่บนบกได้
เป็นเวลานาน ปลาตีนมีอยู่หลายชนิดและ
ขนาดแตกต่างกัน หัวขนาดใหญ่ ตาโต
ลำตัวเรียวเล็กลงไปทางหาง ครีบอกแผ่
ขยายใหญ่ใช้คลานขณะอยู่บนบกได้ดี
ปลาตีนกินกุ้ง ปู และหนอนตามหาด
โคลนเป็นอาหาร
ชื่อไทย :ปลานวลจันทร์ทะเล
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Chanos chanos
ปลาทะเลที่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำกร่อยได้ ลำตัวแบนด้านข้างเรียวยาว เกล็ดสีเงิน
เมื่อโตเต็มที่มีความยาวถึง 1 เมตร ครีบ
หางค่อนข้างใหญ่ มักอยู่รวมกันเป็นฝูง
หากินใกล้ชายฝั่งที่เป็นดินโคลน มักพบ
อยู่ตามลำคลองในป่าชายเลนทั่วไป
ชื่อไทย :ปลากะพงขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lates calcarifer
ปลากะพงขนาดค่อนข้างใหญ่ เมื่อโต
เต็มที่มีความยาวถึง 1 เมตร เกล็ดลำ
ตัวเป็นสีเงิน ส่วนหัวเล็กงอนลงเล็กน้อย
อาศัยอยู่ตามลำคลองในป่าชายเลนและ
ริมฝั่งทะเลทั่วไป นับเป็นปลาเศรษฐกิจ
ที่สำคัญ ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงกันอย่าง
แพร่หลาย
ชื่อไทย : ปลากะพงตาแมว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : ---
ลำตัวค่อนข้างสั้น ตาอยู่ค่อนไปทางหัว
ขนาดยาวประมาณ 30 เซนติเมตร
เกล็ดข้างตัวมีสีน้ำตาลอมเทา เส้นข้าง
ลำตัวปรากฏเด่นชัด หากินอยู่ใกล้พื้น
ทะเลริมชายฝั่งและลำคลองในป่า
ชายเลน
ชื่อไทย :ปลาข้างตะเภา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Therapon jarbua
ปลาขนาดยาวประมาณ 15 เซนติเมตร
ลำตัวสีเงินคาดด้วยแถบสีดำตามความ
ยาวปลาชนิดนี้เป็นปลาที่สามารถอาศัย
อยู่ทั้งในน้ำค่อนข้างจืด น้ำกร่อยและ
น้ำเค็ม กินอาหารไม่เลือก มักอาศัยอยู่
ตามชายฝั่งทั่วไปบริเวณป่าชายเลนและ
ปากแม่น้ำ
ชื่อไทย :ปลาตะกรับจุด หรือ ปลากะทะ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Scatophagus argus
ลำตัวแบนบางทางด้านข้างคล้ายปลาผีเสื้อ
ปากเล็ก ลำตัวและครีบมีจุดสีน้ำตาลกระจาย
ทั่วไป มักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยเฉพาะ
ตัวขนาดเล็กมักว่ายอยู่ตามผิวน้ำ บริเวณ
ลำคลองของป่าชายเลน
ชื่อไทย :ปลากะรังปากแม่น้ำ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Epinephelus tauvina
ปลากะรังหรือปลาเก๋าขนาดใหญ่ เมื่อ
โตเต็มที่มีความยาวถึง 80 เซนติเมตร
ปากกว้าง สามารถฮุบกินเหยื่อเข้าไป
ทั้งตัวซึ่งได้แก่ปลาขนาดเล็กกว่า พบ
อาศัยอยู่บริเวณปากแม่น้ำหรือตาม
ลำคลองของป่าชายเลน จัดเป็นปลา
เศรษฐกิจที่สำคัญเช่นเดียวกับปลา
กะพงขาว
ชื่อไทย : ปลาอมไข่
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Apogon sp.
ลำตัวสั้นมากและแบนทางด้านข้าง ครีบหลัง
มี 2 อันเด่นชัด ปากค่อนข้างกว้างและเฉียงลง
ขนาดความยาวตัวประมาณ 5 เซนติเมตร
ครีบท้องอยู่ตรงตำแหน่งอก ชอบอาศัยอยู่รวมกัน
เป็นฝูงริมชายฝั่งทะเลและลำคลองในป่าชายเลน
ชื่อไทย :ปลาเฉี่ยวหรือผีเสื้อเงิน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Monodactylus argenteus
ลำตัวป้อมสั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยม ครีบหลังและครีบ
ทวารยื่นยาว ผิวลำตัวสีเงินเหลือบเป็นประกาย
ครีบหลังสีเหลืองมีลายคาดตามขวางผ่านตา
และบริเวณขอบแผ่นปิดเหงือก มักพบบริเวณ
แหล่งน้ำกร่อย ปากแม่น้ำ และป่าชายเลน
ชื่อไทย :ปลาสลิดทะเลจุดขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Siganus oramin
ลำตัวแบนทางด้านข้าง ขนาดความ
ยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร
พื้นลำตัวสีเหลืองอมน้ำตาล แต้มด้วย
จุดขาวทั่วตัว มักว่ายน้ำรวมกันเป็น
ฝูงเล็กๆหากินใกล้พื้นทะเลบริเวณ
ชายฝั่งและปากแม่น้ำซึ่งเป็นป่าชายเลน
ชื่อไทย : ปลาเห็ดโคน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sillago maculata
ลำตัวค่อนข้างกลมเรียวยาว ขนาดประมาณ
15 เซนติเมตร ปากยาวแหลม เกล็ดหุ้มลำตัว
สีเงินเป็นประกาย อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง
หาอาหารจำพวกหนอน หอย กุ้ง ตามพื้น
ทะเลที่เป็นโคลนริมชายฝั่งและปากแม่น้ำ
ชื่อไทย :ปลาดอกหมาก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gerres filamentosus
ปลาขนาดยาวประมาณ 12 เซนติเมตร
ลำตัวป้อมสั้น เกล็ดหุ้มตัวสีเงินเป็น
ประกาย ก้านครีบหลังอันแรกเป็น
สายยาว มักอาศัยอยู่เป็นฝูงขนาดย่อม
บริเวณปากแม่น้ำและลำคลองในป่า
ชายเลน
ชื่อไทย :ปลาดุกทะเล
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Plotosus anguillaris
ปลาดุกขนาดกลาง มีลำตัวเรียวยาว ด้านหน้า
ปากมีหนวด 4 คู่ ลำตัวมีคาดสีดำสลับขาว
ตลอดความยาว ด้านท้องสีขาว ชอบอยู่รวม
กันเป็นฝูงขนาดใหญ่ หากินอยู่ตามพื้นที่เป็น
ดินโคลนริมชายฝั่งและปากแม่น้ำ
ชื่อไทย : นกยาง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Egretta sp.
นกยางเป็นนกที่มีขายาว ปากยาว
ขนลำตัวส่วนใหญ่สีขาว มีอยู่หลาย
ชนิด ที่พบเห็นได้ทั่วไปได้แก่
นกยางเปีย นกยางทะเล นกยางโทน
นกเหล่านี้มักอาศัยอยู่ตามป่าชายเลน
หรือบึง ใกล้แหล่งน้ำ กินกุ้ง ปู หอย
ปลาเป็นอาหาร ทำรังอยู่บนต้นไม้
ด้วยกิ่งไม้แห้ง
ชื่อไทย :นกแขวก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nycticorax nycticorax
นกในวงศ์นกยางที่ขนบริเวณหลังสีเขียว
บริเวณปีกสีเทา ตัวที่ยังโตไม่เต็มวัยมีขน
สีน้ำตาลแต้มด้วยลายขีดสีขาว นกแขวก
อาศัยอยู่ตามป่าชายเลนหรือหนองบึง มัก
ออกหากินในเวลากลางคืน ทำรังด้วยกิ่ง
ไม้แห้งสานกันอย่างหยาบๆ
ชื่อไทย : ลิงแสม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Macaca irus
ลิงแสมมีชื่อเรียกตามพันธุ์ไม้ในป่า
ชายเลนคือ ต้นแสม เพราะตาม
ธรรมชาติของลิงชนิดนี้ชอบอาศัย
อยู่ตามป่าแสม-ป่าโกงกาง ขนลำตัว
มีสีน้ำตาล หางยาว ชอบอยู่รวมกัน
เป็นฝูง เวลาน้ำทะเลลดลง ลิงเหล่านี้
จะลงมาจับปูตามพื้นป่าเป็นอาหาร
ปัจจุบันเผ่าพันธุ์ของลิงแสมได้เข้ามา
ครอบครองพื้นที่ตามแหล่งท่องเที่ยว
เพราะได้รับอาหารโดยไม่ต้องดิ้นรน
ต่อสู้ตามธรรมชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น